บันทึกชีวิตในรอบ 1 ปี ของคนเป็นโรคซึมเศร้า สมาธิสั้น Burnout

Chotika Sopitarchasak
2 min readApr 22, 2021

--

Photo by nikko macaspac on Unsplash

เราได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรังเมื่อประมาณมี 2559 เราไม่รู้ว่ามันเริ่มหลังจากที่แม่เสียตอนเราอายุ 14 หรือตอนที่โดนแกล้งสมัยเด็ก แต่สิ่งที่น่าจะชัดเจนคือ สภาพที่ทำงานที่มัน Toxic มาก ทุกๆวันไม่อยากไปทำงาน ไปทำงานทีไรเหมือนไปนรก เราทนทำงานที่นั่นมา 7 ปี จนวันนึงเราได้แต่งงาน เราก็คิดละว่าชีวิตใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น เราลาออก ย้ายตามแฟนไปอยู่สิงคโปร์

มาถึงสิงคโปร์เราพยายามเริ่มต้นทำงานสายกราฟิกที่เรารัก แต่ค่าจ้างมันน้อยกว่างานที่ได้รับ เราจึงปฏิเสธมัน หลังจากนั้นเราก็พยายามหางานที่อื่นไปเรื่อยๆ จนโควิดเข้ามา และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของหลายๆอย่าง โควิดพรากโอกาสหลายๆอย่างของเราไป เพราะสิงคโปร์ส่วนใหญ่เขาจะรับคนในประเทศเขาทำงานก่อนจะเลือกคนนอกอย่างเรา (เราถือพาสผู้ติดตาม ทำงานได้แต่เขาไม่ออกพาสทำงานให้ ทำให้สถานะเราต้องขึ้นอยู่กับแฟนตลอด) จนวันที่มันระบาดหนัก สิงคโปร์ล็อกดาวน์ เราออกไปไหนไม่ได้ ลำบากกว่าเดิม นโยบาย Singapore first ก็เข้ามา เดิมทีแฟนก็แนะนำเราว่าย้ายสายมั้ย ไป UX design แทน เราก็ใช้เวลาคิดอยู่ว่าจะทำดีมั้ยนะ เพราะมันไม่ง่ายที่จะย้ายไป

ณ จุดนี้ เราเริ่ม Burnout เราเริ่มหมดไฟที่จะเรียนรู้อะไร เราหมดแรง หมดหวัง หมดทุกอย่าง ตลอดช่วงเวลาที่ล็อกดาวน์ กิจกรรมในแต่ละวันคือ นอนตี 4 ตื่นบ่าย 2 ตื่นมาทำกับข้าว เล่นคอม เล่นเกม นอน เป็นลูปมาเรื่อยๆ มีรับงานฟรีแล้นซ์เล็กๆมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้เงินเยอะอะไรนัก เพราะงานสายกราฟิกคู่แข่งเยอะ จนวันนึงเราเริ่มศึกษา UX design แล้วเราก็ค้นพบว่า เราเองเริ่มอ่าน เริ่มแชร์บทความเกี่ยวกับ UX / UI มานานแล้ว ทำไมเราไม่เริ่มล่ะ?

เราเริ่มมองหา Bootcamp ที่สิงคโปร์ จนเจอของ GA (General Assembly) ค่าเรียนหลายแสนอยู่ แฟนเราก็ยอมจ่ายให้ เพราะคำนวณแล้วว่าหากมางานสายนี้ น่าจะได้เงินคืนมาเยอะแน่ๆ เราลงเรียนในระบบ hybrid คือออฟไลน์และออนไลน์ (ไว้จะมาเขียนรายละเอียดอีกที) แต่สุดท้ายเราเรียนได้เดือนนึงก็โดนให้ออก เรารู้สึกเศร้า ผิดหวังอย่างรุนแรงแต่ยังดีที่มีคนที่เรียนไม่จบมาเป็นเพื่อนกันหลายคน เราเลยตัดสินใจคุยกับแฟนว่าขอกลับไทยนะ

สถานการณ์โควิดในไทยมันดีขึ้นมากในตอนนั้น เรามีแพลนหลายอย่างมาก ทั้งไปเรียนภาษาอังกฤษ (เรียนที่สถาบันแบบเจอครูเลย) ไปเข้ายิมออกกำลังกาย (เราชอบเข้าคลาสเต้นต่างๆ) หางานทำ เรียน UX เพิ่มเติม และอื่นๆอีกมากมาย

พอกลับมาถึงไทย เราก็เจอข่าวร้ายเรื่องโควิดที่กลับมาระบาดอีกครั้ง แพลนหลายๆอย่างของเราก็ล่มลง การเรียนภาษาอังกฤษ เราพยายามลองเรียนออนไลน์ดูแล้วแต่เรียนแค่คอร์สเดียวนะของอาจารย์อดัม เราไม่ได้รู้สึกว่าเราได้ความรู้เพิ่มเติมเลย เรื่องการไปออกกำลังกาย เรามีไปตีแบดทุกวันอาทิตย์ แต่เราไม่ชอบวิ่ง เหมือนเราเคยชอบ แต่ตอนนี้เราไม่รู้สึกอยากจะทำ เราเลยได้ลองเรียน UX design ของ TDC (Thammasat Design Centre) เราได้เรียนกับวิทยากรที่เราชอบ เราอยากเรียนกับเขามานาน แต่เราก็พบอีกว่าการเรียนแค่นี้ไม่เพียงพอต่อการไปทำงาน ในระหว่างนี้เราลงเรียนของ Interaction Design Foundation ไปด้วย แต่มันคือการอ่าน Article ยากๆ เราเจอศัพท์ใหม่เยอะมาก มากจนมันท่วมท้นและทับเรา เราก็พยายามจดศัพท์ในวิธีของเราอยู่แต่ก็นั่นแหละ มันไม่ใช่เรื่องง่าย

หลังจากนั้นเราก็รู้สึกว่าทำไมเราไม่มีสมาธิเลยในการทำอะไรสักอย่าง จริงๆเรารู้สึกมาตั้งแต่เด็กแล้ว เราชอบเหม่อลอย กว่าจะสามารถมีสมาธิได้ค่อนข้างใช้เวลานาน เราเลยไปหาหมอ แล้วก็ได้ยาแก้สมาธิสั้นมาอีก เราจะมีสมาธิกับสิ่งที่เราชอบทำเท่านั้นเช่นงานฟรีแล้นของลูกค้าหรืออะไรที่มีเดดไลน์ตามตูดมา หรืออะไรที่ได้ตัง เราไม่สามารถทำอย่างเดียวได้นานๆ เราไม่สามารถเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำได้

To do list

  • อัปเดต Portfolio โดยใช้ Wordpress (เดิมทีใช้ Wix) แต่เราอยากลองเครื่องมือใหม่ๆ
  • เรียนภาษาอังกฤษ: เพื่อพัฒนาตัวเอง จะได้ทำงานที่สิงคโปร์ได้ จะได้อ่านบทความได้
  • เรียน UX design: นอกจากลงคอร์สเรียนที่จบไปแล้ว เราก็เรียนเพิ่มของ IDF มันเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด และศัพท์เยอะมาก เรามีแพลนจะหาที่เรียนตัวต่อตัวด้วย ขอเก็บตังก่อนนะ
  • Daily UI: เราสมัครทำ daily ui เพื่อพัฒนาฝีมือด้านการทำ ui เพื่อที่อนาคตถ้าเราไม่ได้เป็น ux เราอาจจะได้เป็น ui ก็ได้ (จริงๆระยะหลังๆ เราสนใจ ui มากกว่า)
  • อัปสกิลกราฟิก: นั่นเพราะถ้าเรากลับไปสิงคโปร์ มันคงไม่มีโอกาสเลยที่เราจะได้ไปทำงาน ux/ui ไม่มีที่ไหนรับแน่ๆ เราเลยอาจจะต้องทำงานสายกราฟิกไปก่อน อย่างน้อยจะได้มีเงิน จะได้ไม่รู้สึกแย่กับตัวเองที่ต้องเกาะคนอื่นกิน
  • หารายได้เสริม: เรามีแพลนหารายได้เสริมอยู่ 2–3 ทาง แต่เราขอไม่บอกว่าทำอะไร ขอเก็บไว้ในใจ
  • เรียน Gamification อีกครั้ง: จริงๆเราลงคอร์สเรียนไปแล้ว แต่เราอยากเรียนทวนอีกครั้ง เพื่อที่มันจะได้นำทางเราไปสู่สายงานที่เราอยาก(?)

คิดว่าคงมีอีก แต่ยังนึกไม่ออก ประเด็นคือเราเหมือนจะทำทุกอย่างไปพร้อมๆกัน จนไม่สำเร็จสักอย่างเพราะอยากสำเร็จทุกอย่าง เราเลยเลือกไม่ได้ เรียงลำดับไม่ได้ แล้วติดที่ตัวเองทำงานแบบ multitasking มาตลอดหลายปี คือไม่ทำอย่างเดียว แต่ทำหลายอย่างพร้อมกัน อาจจะเป็นที่ตรงนี้มั้ง แต่เราไม่อยากโทษอะไรหรือใคร นอกจากตัวเราเองล้วนๆ

เราเป็นคนมีเงื่อนไขเยอะ แต่นั่นเพราะเรารู้จักตัวเองดี เราไม่สามารถให้คนใกล้ตัวบอกให้เราทำอะไรได้ เพราะเราจะต่อต้านถ้าเราไม่อยากทำ นั่นเลยเป็นเห็นผลที่ทำให้เราต้องมีครูที่จะมาสอนภาษาอังกฤษเราหรือเราต้องไปยิม ไปเสียตัง มีเทรนเนอร์เพื่อให้เค้าสั่งเราให้ทำอะไรและในขณะเดียวกันเราก็ได้เต้นในคลาสที่เราชอบ เราไม่สามารถเริ่มออกกำลังกายด้วยตัวเองได้ เพราะ enegy เราไม่มีจริงๆ เราไม่มีแรงที่จะทำอะไรทั้งนั้น

ทุกวันนี้ อย่างที่เราบอกไปว่าเราเรียน gamification อยู่ อาจารย์ก็มีโปรเจ็คให้ทำ เรียนจบแต่โปรเจ็คไม่จบ เรามีประชุมสัปดาห์นึงไม่ต่ำกว่า 5 รอบ บางวันก็ 3 รอบติดกันตั้งแต่ 4โมงกว่ายัน 4 ทุ่ม เราเหนื่อยมาก เราเหนื่อยจนเราไม่มีแรงจริงๆ แล้วเราก็รู้สึกว่าเราถ่วงเพื่อนในทีม เพราะงานที่ทำต้องใช้ภาษาอังกฤษและการวิเคราะห์หลายๆอย่าง แต่เหมือนเราเหนื่อยล้าจากสิ่งที่ทำในทุกวัน แล้วเพื่อนคนอื่นในทีมก็เก่งกันมาก เก่งภาษาอังกฤษกันมาก มีเราที่ดูโหลยโท่ยอยู่คนเดียว

เรื่องการออกกำลังกาย ไม่ใช่จะไม่ทำ เราบอกแล้วว่าเรากลับสิงคโปร์เมื่อไหร่ เราจะไปเข้ายิม (ตอนแรกตั้งใจมาเข้ายิมที่ไทยนี่แหละ แต่เจอโควิดก็เลยอด)

เรื่องโรคซึมเศร้า เราอยากจะหยุดยาเอง เรารู้สึกว่ามันไม่ดีขึ้นเลย แต่มันหยุดไม่ได้ จริงๆมันเคยดีขึ้นจนโควิดมาที่ทำให้มันแย่ลง

เราห่วยว่ะที่เราไม่สามารถควบคุมหรือทำอะไรได้มากกว่านี้ เราทำให้คนรอบข้างเราท้อและผิดหวังในตัวเรา เราอยากยอมแพ้ต่อโชคชะตา จังหวะชีวิต หนีจากโลกนี้ไปเลย แต่เราเองก็ขี้ขลาดเกินไปที่จะทำแบบนั้น ก็ทนมันไปอย่างนี้แหละ หวังว่ากลับไปสิงคโปร์รอบนี้แล้วอะไรๆจะดีขึ้นนะ

อยากระบายความในใจเท่านี้ละ ใครเข้าใจก็ขอขอบคุณ ใครไม่เข้าใจเราก็ไม่รู้จะทำอะไรให้เข้าใจได้มากกว่านี้แล้ว

--

--

Chotika Sopitarchasak

Thai UX/UI Designer | Former Graphic Designer | KMUTT | SoA+D